Friday, July 29, 2011

"อำนาจเจริญ" กับ "แม่"

เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสไปเยือน "อำนาจเจริญ" เมื่อครั้งก่อนที่เคยไปนั้น อำนาจเจริญยังเป็นเพียง อำเภอ แต่ในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นจังหวัด ภาพของ "อำนาจเจริญ" ที่เหลืออยู่น้อยนิดในความทรงจำของตัวเองนั้น ก็คือ เป็นอำเภอเล็กๆ ไม่ค่อยเจริญมากนัก ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรังซะส่วนใหญ่ แต่มีบ้านพักข้าราชการหลังใหญ่มากซะจนเด็กเล็กจอมซน 3 คนวิ่งเล่นซ่อนหากันได้สบายๆ จนเป็นเหตุให้หนึ่งในนั้นได้แผลจากการหกล้ม หัวปูด คางแตก เลือดไหลย้อยเป็นทาง ...กลายเป็นเรื่องเดือดร้อน... เพราะเหตุเกิดยามวิกาล และพ่อก็ออกไปตรวจลาดตระเวน ที่บ้านจึงมีแต่แม่กับเด็กเล็กอีก 3 คน รถรา ก็ไม่มี แต่แม่ต้องหาทางพาลูกไปสถานีอนามัยให้เร็วที่สุด เพราะเสียงลูกร้องดังปานจะขาดใจอย่างนั้น ...สิ่งที่ดีที่สุดที่แม่หาได้ในเวลานั้นคือ รถสามล้อ ซึ่งกว่าจะพาไปจนถึงมือคุณหมอได้ แม่ถึงกับหูชา...

วันนี้ได้มีโอกาสกลับไปเยือน "อำนาจเจริญ" อีกครั้ง ได้พบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน บ้านเรือน ถนนหนทาง  รถราทันสมัย จะมองหาสามล้อจับเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด และอาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เป็นหน้าฝน สองข้างทางจึงเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม มองไปทางไหนก็ร่มรื่นสายตาไปหมด ...

การกลับไปอำนาจเจริญในครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนการหวนกลับไประลึกถึงความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้ง ได้ระลึกถึงความรัก ความผูกพัน และความเสียสละของแม่ที่มีต่อลูกๆ จนทำให้นึกถึงประโยคสุดท้ายที่แม่ได้พูดก่อนที่เราจะจากกันตลอดกาล นั่นก็คือ "แม่ดีใจที่ได้เห็นลูกเป็นคนดี ไม่เกเร ไม่ติดยาเสพติด รับผิดชอบตัวเองได้ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว" 

การกลับไปอำนาจเจริญในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ได้หวนระลึกถึงแม่ของตัวเองเท่านั้น แต่สาเหตุสำคัญของการเดินทางไปในครั้งนี้ คือ การร่วมไว้อาลัยแม่ของ "น้องโอ๊ด"  ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและน้องที่เปรียบประดุจพี่น้องคลานตามกันมา ...แม่ของเราทั้งสองคนเป็นครู แม่ของเราทั้งสองเป็นคนที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง และแม่ของเราทั้งสองคนหวังใจเพียงได้เห็นลูกเป็นคนดี... แม่ของ "น้องโอ๊ด" ได้มีโอกาสเลี้ยงดูฟูมฟัก หล่อหลอม และใช้เวลากับลูก จนกระทั่งได้เห็นลูกชายเติบโตเป็นคนดี กิริยามารยาทงดงาม เป็นที่รักใคร่ของมิตรสหาย และเป็นที่พึ่งพาของครอบครัว ...แม่ของน้องยังได้มีโอกาสอบรม ให้ความรู้ และดูแลปลูกฝัง จนกระทั่งลูกชายสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก ...พระคุณของแม่จึงมีอย่างเหลือล้น...ตัวตนของน้องโอ๊ดในวันนี้ จึงเป็น ความสุขใจ และความภาคภูมิใจของแม่ "ผู้สร้างลูก" อย่างแท้จริง...

...ขอร่วมเป็นตัวแทนของเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกเทคโนฯ ในการระลึกถึงพระคุณและอาลัยต่อการจากไปของคุณแม่น้องโอ๊ด ที่จังหวัดอำนาจเจริญ ในครั้งนี้...

พักผ่อนให้เป็นสุขนะคะ ...แม่....






ปล. นิสิตปริญญาเอก (ภาคปกติ) สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น 4 มีกันอยู่ 4 คน คือ "โอ๊ด" "พีุ่ยุ้ย" "พี่น้อง" และผู้เขียน...การเดินทางไปร่วมไว้อาลัยในครั้งนี้ "พี่ยุ้ย" ได้ร่วมเดินทางไปด้วย ส่วน "พี่น้อง" ติดภารกิจสำคัญ จึงฝากความอาลัย มา ณ ที่นี้

ประมวลภาพเหตุการณ์พิธีฌาปนกิจศพ




Tuesday, February 8, 2011

Song Mood and Love


กรี๊ดดดดดดดดด!!!

อะไรคะ เกิดอะไรขึ้น! 

ครูกำลังสอนนักเรียนชั้นม.1 เกี่ยวกับอิทธิพลของดนตรีที่มีต่ออารมณ์และความรู้สึก แล้วก็มอบหมายให้นักเรียนเขียนเนื้อเพลงที่ตนเองชื่นชอบ 1 ท่อน พร้อมกับให้บรรยายอารมณ์และเนื้อหาของเพลงนั้นๆ หลังจากนั้นครูก็เปิดเพลงนี้เป็นตัวอย่างเพื่อจะบอกเล่า พูดคุย เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของเพลง ทันใดนั้นเองเสียง "กรี๊ดดดดดด" ก็ดังขึ้น ทำให้สายตาทุกคู่หันไปมองหาที่มาของเสียงร้องนั้น เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารักมาก แต่กำลังกรีดร้อง พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นปิดหู ส่ายหน้า พร้อมกับร้องเสียงหลงว่า "ไม่เอา ไม่ฟัง" ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แล้วน้ำตาหยดเล็กๆ ก็ไหลริน ...

พอเริ่มจะสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็บอกกับครูว่าทนฟังเพลงเมื่อสักครู่ไม่ได้ เพราะมันไปกระทบกับความรู้สึกของเธอที่เคยมีต่อคนๆ หนึ่ง เธอบอกกับครูว่า... 

"หนูต้องฟังเพลงนี้ถึงจะตรงกับอารมณ์หนูที่สุดค่ะ"


เด็กผู้หญิงที่อายุเพียงแค่ 12-13 ปีเท่านั้น แต่ได้รู้จักกับความรักแบบหญิงชาย ที่เต็มไปด้วยความสุขเมื่อสมหวัง และเต็มไปด้วยความทุกข์เมื่อผิดหวัง ... ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ทั้งทุกข์และสุขกับความรัก สิ่งที่รบกวนในจิตใจตลอดเวลาก็คือ เด็กผู้หญิงอายุเพียงแค่นี้จะผ่านพ้นความรู้สึกเศร้าโศก และหดหู่นี้ไปได้อย่างไร เธอจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลุกขึ้นได้อีกครั้ง ใครจะช่วยเธอให้ผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้ ...

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรักระหว่างชายหญิงนั้น เป็นความรักที่คนส่วนใหญ่ต้องได้ประสบพบเจอ ไม่เลือกวัย ไม่เลือกฐานะ ... ความรักนั้นอาจเป็นได้ทั้งรักที่สมหวัง รักที่ไม่คาดหวัง รักที่รอคอย และรักที่ไม่เป็นไปดั่งหวัง เมื่อเราไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น เราอาจพูด และให้คำแนะนำได้ว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัวเราเองตกอยู่ท่ามกลางวังวนนี้ เราอาจกลายเป็นคนตาบอด ความถูกต้องเหมาะสม กาละเทศะ การควรไม่ควร สิ่งเหล่านี้ถูกมองข้ามไป... เปรียบได้กับ การมองดูกระจกเงา หากเราขยับเข้าไปมองใกล้ๆ จนหน้าเกือบจะชิดกระจก เราจะมองเห็นเฉพาะจุดๆ เดียว แต่หากเราขยับออกมายืนให้ห่างกระจก เราจะเห็นอะไรชัดเจนขึ้น กระจ่างขึ้น และเห็นภาพรวมทั้งหมดมากขึ้น ตาของเราก็จะไม่มืดมัว และเมื่อนั้นแหล่ะ เราก็น่าจะค้นเจอเหตุผล และสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น และเติบโตขึ้น ...สมกับคำที่ผู้รู้ทั้งหลายได้กล่าวไว้ ...เวลาจะช่วยรักษาแผลใจ... ประสบการณ์จะสอนให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้น ... และอื่นๆ อีกมากมาย

หากเราสังเกตรอบตัวเรา เราคงจะได้เห็นคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ไม่มากก็น้อย สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ ก็คงเป็นการรับรู้ ช่วยเหลือ ดูแล ประคับประคอง และเป็นกำลังใจให้เค้าเหล่านั้น สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันหม่นมัวไปได้ เพื่อที่ว่าเราจะได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตานั้นอีกครั้ง...

ขอมอบเพลงนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ค่ะ


ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า "เพลง" มีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนฟังได้มากมายจริงๆ ทั้งด้วยตัวเนื้อหาของเพลง และท่วงทำนองของเพลง ทำให้แตะต้องสัมผัสจิตใจคนฟังให้รับรู้และคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย ...เพราะฉะนั้น ผู้ฟังและนักฟังเพลงทั้งหลาย ก็ควรจะต้องมีวิจารณญาณให้ดีนะคะว่า ช่วงไหน อารมณ์ไหน ควรฟังเพลงประเภทใด ... เมื่อท้อแท้ เบื่อหน่าย ก็คงต้องหาฟังเพลงที่ทำให้สดชื่น กระฉับกระเฉง และสนุกสนาน ... เมื่อเคร่งเครียด เหน็ดเหนื่อย ก็หาเพลงเย็นๆ เบาๆ เพื่อจะได้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ... น่านะ ไหนๆ จะฟังเพลงแล้ว ก็ต้องให้มีประโยชน์บ้างซิคะ ไม่งั้นจะฟังทำไม ...

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ... เพลงที่เราชอบฟัง หรือชอบร้อง จะบ่งบอกถึงบางสิ่งที่อยู่ในความคิดและความสนใจของเรา ในช่วงเวลานั้นๆ... ลองสังเกตตัวคุณเองซิคะว่าจริงมั๊ย?



Thursday, February 3, 2011

Find a reason to smile :D

"When life gives you a 100 reasons to cry, show life that you have 1000 reasons to smile. Face your past without regret. Handle your present with confidence. Prepare for the future without fear. Keep the faith and drop the fear."   ~Author Unknown~
ข้อความข้างต้น พออ่านแล้วรู้สึกว่าเกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้นเลยเน๊าะ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วทำยังไงเราถึงจะหาเหตุผลร้อยแปดพันประการให้กับช่วงชีวิตอันแสนจะสับสน ยุ่งเหยิง ท้อแท้ หนักหน่วง หรือหม่นมัวได้ เราจะหาเหตุผลอะไรมาเพื่อให้เราสามารถยิ้ม และดำเนินชีวิตในแต่ละวันต่อไปด้วยความกล้าหาญอีกครั้ง ... บางครั้งเราคิดหาเหตุผลนั้นไม่เจอ หรือรู้สึกเหมือนกับว่ายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก แต่ไม่รู้ทำไมนะคะ อยู่ๆ ก็คิดถึงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมา เคยได้อ่านเรื่องราวและดูคลิปของเค้าเมื่อปีที่แล้ว (ตอนนั้นต้องหาข้อมูลเพื่อทำการบ้านส่งหน่ะค่ะ) ผู้ชายคนนี้มีเหตุผลมากกว่าเราเป็นร้อยเรื่องที่จะร้องไห้ แต่เค้าก็สามารถหาเหตุผลมากกว่าพันเรื่องที่ทำให้เค้ายิ้ม และฝ่าฟันทุกอย่างไปได้ .. ผู้ชายคนนั้นชื่อ "Nick Vujicic" ค่ะ

Nick Vujicic was born in December, 4 1982 in Melbourne, Australia. He was born without arms at shoulder level and without legs but he has two small toes on his extremely leg. However, He can comb his hair, brush his teeth, and answer the phone. Moreover, he can learn to write and use a computer by using two toes. He graduated from college at the age of 21 with a double major in accounting and financial planning.



นี่เป็นตัวอย่างของชีวิตจริงที่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองในการมีชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่าและความหวัง ... พอได้เห็นชีวิตของเค้าแล้ว ย้อนกลับมามองชีวิตตัวเอง ก็ให้ได้พบเหตุผลมากมายสำหรับรอยยิ้ม และการมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ ... แค่นั้นยังไม่พอนะคะ ยังอุตสาห์นึกถึงชีวิตของอีกคนหนึ่งออกอีกค่ะ ... Randy Pausch ...

Randy Pausch ศาตราจารย์ประจำมหาวิทยาัลัย Carnegie Mellon ได้รับเชิญให้บรรยาย  The Last Lecture ในหัวข้อ "Really Achieving your Childhood Dreams" หลังจากการบรรยายในครั้งนั้นผู้คนนับล้านต่างพากันเข้าไป Download Clip ของท่าน แม้กระทั่ง Ophra ก็ทนไม่ไหวต้องรีบเชิญมาออกในรายการค่ะ ... ทำไมชีวิตของท่านจึงน่าสนใจ ไปหาคำตอบได้ด้วยตัวคุณเองด้านล่างนะคะ

คลิปนี้มีบรรยายเป็นภาษาไทยค่ะ (Randy Pausch on Ophra's with Thai Subtitle)
http://video.sanook.com/The_last_lecture_thai_subtitle-385845-player.html

และคลิปตอนเดียวกัน English Version ค่ะ


ขณะนี้ ศาตราจารย์ Randy Pausch ได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เรื่องราวชีวิตของท่านยังคงอยู่ และเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีคุณค่ายิ่ง ... ยิ้มและหาเหตุผลทีุ่เราจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ากันต่อไปนะคะ ...

สำหรับท่านที่สนใจ ชีวิตของ Randy Pausch โดยละเอียด มีทำออกมาเป็นหนังสือให้หาอ่านได้นะคะ ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษเลยหล่ะค่ะ


Wednesday, January 26, 2011

My Student's Blogs

หลังจากที่ได้สอนให้นิสิตทำ Blog กันแล้ว ก็ถึงเวลาที่ลูกนกทุกคนจะต้องฝึกบินด้วยตัวเองซะที เลยมอบหมายให้นิสิตทุกคนทำ Blog มาโชว์ให้ดูกันหน่อยละกันว่าแต่ละคนจะมีฝีไม้ลายมือกันแค่ไหน ไม่เฉพาะในเรื่องการสร้าง การออกแบบ การจัดวาง การใช้สีตัวอักษร และสีพื้นหลังของ Blog นะคะ เพราะเรื่องแค่นี้คงเป็นเรื่องที่ง่ายมากมากสำหรับนิสิตเหล่านี้ แต่อาจารย์อยากจะดูด้านการเขียนค่ะ เพราะอาจารย์อยากรู้ว่านิสิตจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดและตัวตนในการสื่อสาร หรือการเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ ให้กับบุคคลอื่นๆ ได้รับรู้ในลักษณะไหน อย่างไร นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่อาจารย์อยากติดตาม ...

คุณนิสิตกลุ่มนี้แหล่ะค่ะ
ทบทวนกันหน่อยนะคะว่า เราเป็นนิสิตครู ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้ร่วมกันว่า เราจะใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับการศึกษาได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ ขณะนี้ เราอยู่ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างสามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลกเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี และปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และขยายขอบเขตการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มากที่สุด ดังนั้น Blog ก็เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาได้ ดังนั้น นิสิตในฐานะว่าที่ครูในอนาคต ก็จะต้องคิดให้มากว่าจะใช้เทคโนโลยีนี้อย่างไรดี สิ่งที่นิสิตกำลังจะเขียนและแสดงออกมานั้นจะเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า นิสิตเข้าใจในเบื้องหลังเบื้องลึกของเทคโนโลยีการศึกษาเพียงใดค่ะ

แอบมีนิสิตสองสามคนมากระซิบบอกว่าเขียน Blog แล้วนะคะ/ครับ อาจารย์เข้าไปดูได้เลย โอโห! อาจารย์ดีใจยิ้มหน้าบานเลยหล่ะค่ะ ก็นะ เวลาอาจารย์สั่งงานทีไร อยากแต่จะขอเลื่อนส่งทุกทีไป แต่คราวนี้มาแปลก ทำเสร็จก่อนถึงวันกำหนดส่งซะอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้อาจารย์ดีใจได้ยังไงหล่ะคะ แล้วยังมีของแถมให้อาจารย์อีกนะคะ เพราะอาจารย์ขอให้เขียนเรื่องราวลงใน Blog 2 เรื่อง แต่คุณนิสิตบอกว่าเขียนไปได้หลายเรื่่องแล้ว และบอกต่อไปอีกว่าเขียนแล้ว "สนุกดี" เห็นมั๊ยคะ (อาจารย์ว่าแล้ว...) พอเราได้ลงมือทำอะไรจริงๆ ซักอย่างที่ออกมาจากตัวตนของเราแล้ว เราจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อซักนิด สามารถเขียนออกมาได้อย่างรื่นไหลและรวดเร็ว จำได้เลยว่าตอนสอนและสั่งงาน นิสิตจะบ่นกระปอดกระแปดว่าไม่รู้จะเขียนอะไรดี แต่พออาจารย์แนะนำว่า ให้เริ่มต้นเขียนจากสิ่งที่นิสิตสนใจ หรือสิ่งที่นิสิตชอบ หรือถนัดก่อน เพราะเมื่อเราสนใจเรื่องไหน เราก็จะรู้เรื่องนั้นดีเป็นพิเศษพอที่จะเอามาบอกเล่าให้คนอื่นๆ ฟังได้ไงคะ ง่ายๆ แค่นี้แหล่ะค่ะขั้นเบื้องต้นหน่ะ

สู้ค่ะ
ตัวอย่างเช่น อาจารย์เห็นนิสิตชายคนหนึ่ง ผมเริ่มยาวแล้ว เค้าก็เลยเอาหนังยางมัดผมด้านหน้ารวบไปด้านหลัง (อือฮือ ทำผมคล้ายๆ อาจารย์ซะด้วยซิ แต่เค้าหล่อกว่าอาจารย์นะคะ ขอบอก) ก็เลยถามเค้าบอกว่า อยากไว้ผมยาวเหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าคุณเก็บกดมาจากสมัยตอนมัธยมปลาย เค้าก็หัวเราะและบอกว่าเก็บกดมาตั้งแต่เด็กเล็กเลยหล่ะ แล้วก็เลยรู้สึกว่าอยากไว้ผมยาวมาก อาจารย์เลยแซวเค้าบอกว่า นี่ไงเอาไปเขียนเล่าใน Blog ซิคะ เค้าก็ชอบใจใหญ่เลยหล่ะค่ะ บอกว่าจริงด้วยเอาความเป็นมาตั้งแต่ Skinhead ไล่มาเลยมั๊ยครับ เพราะงั้นไม่แน่นะคะ ตอนนี้นิสิตคนนี้อาจจะได้พล็อตเรื่องสำหรับเขียน Blog แล้วหล่ะอาจารย์ว่านะ ฉะนั้นเรามาลองติดตามกันนะคะว่าแต่ละคนจะเขียนอะไรมาเล่าสู่กันฟังบ้าง

หน้าที่ของอาจารย์ตอนนี้ก็คือ หาวิธีการสร้าง Link List เพื่อจะได้ผูก Blog ของนิสิตเข้ากับของอาจารย์ไงคะ ก็เช่นเคยค่ะ กางตำรา และได้ความรู้ว่าทำแบบนี้ค่ะ
  1. ไปที่ Design<Page Elements
  2. คลิกที่ Add a Gadget และเลือกหารายการ Link List ค่ะ
  3. คลิกที่เครื่องหมาย + ด้านหลังรายการ Link List
  4. หน้าต่าง Link List จะเปิดขึ้นมา ก็ให้กรอกรายละเอียดดังนี้ค่ะ
  • Title ตั้งชื่อหัวเรื่องของ Link นี้ค่ะ
  • New Site URL เราก็กรอก URL ของ Blog ที่ต้องการ Link ค่ะ
  • New Site Name เป็นชื่อของ URL ตัวที่เราต้องการ Link นี้แหล่ะค่ะ
  • คลิก Add Links 
  • ถ้ามี Link ที่ต้องการเชื่อมโยงอีก ก็วนกลับไปที่ขั้นตอน New Site URL แล้วก็เพิ่มเรื่อยๆ จนครบตามต้องการแหล่ะค่ะ
  • คลิกปุ่ม Save เพื่อบันทึก แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ
ตอนนี้อาจารย์ก็ทำ Link List ของนิสิตเสร็จแล้วนะคะ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของนิสิตแล้วหล่ะค่ะ ที่จะทำให้ Blog ของตัวเองน่าสนใจ น่าติดตามแค่ไหน ซึ่งอาจารย์ก็จะคอยติดตามอ่านนะคะ ไม่อยากบอกว่าได้แอบอ่านของบางคนแล้ว แล้วก็แอบประหลาดใจค่ะ พวกเฮี้ยวๆ สามารถเขียนเรื่องราวออกมาได้อย่างสนุกสนาน อาจารย์อ่านแล้วยังอดทึ่งไม่ได้เลยค่ะ ประมาทไม่ได้จริงๆ คุณนิสิตพวกนี้!

Friday, January 21, 2011

University Supervisor!

ครั้งแรกกับบทบาทของอาจารย์นิเทศ!

ขออวดรูปคนใจดีหน่อยค่ะ
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณน้องชายสุดหล่อและแสนดีคนเดียวประจำภาควิชาของเรา อ.ดร.รัฐพล ประดับเวทย์ ที่คอยให้ความช่วยเหลือและแนะนำพี่สาวคนนี้ในการทำหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เตรียมการสอน ไปจนถึงทำ TOR ประกอบการจ้าง รวมไปจนถึงเป็นพี่เลี้ยงในการนิเทศนิสิตฝึกสอน และอีกสารพัดเรื่องที่ทำมาแล้วและเรื่องที่จะตามมาอีกในอนาคต ขอบคุณมากมากนะคะต้น :)

อย่างที่บอกนะคะว่าตัวเองชอบสอน พอได้ไปเป็นอาจารย์นิเทศนิสิต โดยเฉพาะในครั้งนี้ได้รับผิดชอบนิสิต 5 คนทางด้านทัศนศิลป์ ก็เป็นอะไรที่ท้าทาย และแปลกใหม่สำหรับตัวเองมากค่ะ เริ่มตั้งแต่บุคลิกลักษณะของนิสิต ไปจนกระทั่งถึงเนื้อหา วิธีการ และรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้ตอนไปนิเทศรู้สึกสนุกมาก

ตัวอย่าวเช่น นิสิตชายคนหนึ่งซึ่งมีบุคลิกภาพแบบศิลปินหน่อยๆ สวมกางเกงทรงเดฟ เจาะตุ้มหู ผมตั้งๆ ดูเก้งก้างยังไงพิกล แต่ก็หน้าตาหล่อเหลาเอาการนะคะ แล้วก็ประมาณว่าใครดูก็คงรู้หรอกค่ะว่าเป็นเด็กอาร์ต เพราะฉะนั้นตอนได้ทำความรู้จักกันครั้งแรกเลยนึกไม่ออกว่าเวลาสอนเค้าจะสอนเด็กนักเรียนยังไง แต่ปรากฏว่า เค้าเตรียมแผนการสอนดีมาก แล้วในการสอนก็มีการจัดเตรียมสื่อต่างๆ ไว้ให้นักเรียนหลากหลาย มีเทคนิคเฉพาะตัวในการถ่ายทอดเนื้อหาทางศิลปะให้กับนักเรียนในภาษาของเค้าเอง แล้วตลอดระยะเวลาที่เค้าสอน ก็สังเกตเห็นได้ชัดเลยค่ะว่า เด็กนักเรียนให้ความสนใจและติดตามการสอนของเค้ามาก บรรยากาศและการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นไปอย่างสนุกสนาน ผ่อนคลาย ขอบอกว่าน่าประหลาดใจและน่าประทับใจมากค่ะ ประกอบกับตัวอาจารย์เองก็ชอบดูพวกภาพวาด งานศิลปะอยู่แล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะคะภาพนี้อยู่ยุคไหนยังไง แค่ชอบดูหน่ะค่ะ พอดีว่าในวันนั้นนิสิตสอนเกี่ยวกับ Gothic Art อาจารย์เลยได้ความรู้ใหม่ว่าศิลปะในยุคนี้เป็นอย่างไร มีลักษณะเด่นอย่างไร ต่อไปเวลาอาจารย์เห็นงานในยุคนี้ที่ไหน อาจารย์สามารถบอกได้เลยนะคะนี่ แถมไม่พอนิสิตยังเอาตัวอย่างภาพผลงานในยุคนั้นมาแสดงให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่างเยอะมาก อาจารย์เลยได้ผลพลอยได้ไปด้วย.. ดีจริงเลยค่ะ...

สำหรับหน้าที่ของอาจารย์นิเทศการศึกษาในวันนั้น ก็ไปให้กำลังใจกันหล่ะค่ะ นอกเหนือจากจะไปดูและให้คำแนะนำในการจัดการเรียนการสอนของนิสิตแล้ว หน้าที่อีกอย่างที่นิสิตหวังพึ่งมากก็คือ การให้คำแนะนำเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียนค่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันนะคะ เด็กศิลป์ จะให้ทำวิจัยแบบเต็มรูปแบบคล้ายๆ เด็กวิทย์ ก็คงไม่ใช่ เราก็เลยต้องคุยทิศทางให้ตรงกันก่อนค่ะว่าเป้าประสงค์ของการให้นิสิตทำวิจัยในชั้นเรียนคืออะไร และเพื่ออะไร ซึ่งสิ่งที่นิสิตได้ประสบพบเจอด้วยตนเองในการจัดการเรียนการสอนนั่นแหล่ะค่ะ ที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในการทำวิจัยได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นปัญหา หรือเป็นเรื่องที่นิสิตอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น ล้วนแต่เป็นประเด็นปัญหาการวิจัยได้ทั้งสิ้น ซึ่งนิสิตมักนึกไม่ถึงว่านี่แหล่ะคือต้นตอของการทำวิจัยในชั้นเรียนของเราหล่ะ

เมื่อเดือนก่อนได้มีโอกาสไปเข้ากลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกสอนกับนิสิตเอกสังคม ประมาณ 25 คน เลยให้นิสิตแต่ละคนเล่าว่าปัญหาที่พบในการฝึกสอนสำหรับตัวเองคืออะไร แล้วมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร หรือมีอะไรที่ทำแ้ล้วประสบผลสำเร็จในการสอนบ้าง ให้เอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง นิสิตก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเล่าประสบการณ์และปัญหาในการจัดการเรียนการสอนด้านนั้น นู้น นี้ แถมไม่พอบอกกลเม็ดเคล็ดลับในการแก้ปัญหา หรือวิธีการที่กำลังพยายามทดลองปรับแก้อยู่ ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานดีค่ะ มีความคิดอะไรแปลกใหม่ที่เพื่อนๆ และตัวอาจารย์เองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน

พอมาถึงประเด็นเรื่องที่นิสิตรู้สึกหนักใจและเป็นปัญหาในการออกไปฝึกสอนที่อยากจะขอคำแนะนำและให้อาจารย์ช่วย กลับกลายเป็นเรื่องที่ว่าคิดหัวข้อวิจัยในชั้นเรียนไม่ออก (การทำวิจัยในชั้นเรียนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการฝึกประสบการณ์วิชาชีพของนิสิตด้วยค่ะ) ....อาจารย์ก็เกิดอาการงงน่ะซิคะ ... เพราะมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นิสิตไม่เข้าใจว่าการทำวิจัยในชั้นเรียนจริงๆ น่ะคืออะไร เราไม่ได้ต้องการไปเพิ่มภาระให้นิสิตในการฝึกสอนนะคะ ปัญหาต่างๆ ที่นิสิตเล่าให้อาจารย์ฟังเมื่อกี้นั่นแหล่ะค่ะ เป็นหัวข้อวิจัยในชั้นเรียนของนิสิตได้ อาจารย์ก็เลยต้องถามย้อนกลับจากเรื่องเล่าของแต่ละคนที่ว่าในการเรียนการสอนประสบพบเจอปัญหาอะไรกันมาบ้างว่า แล้วเวลาคุณเจอปัญหาอย่างนี้ คุณแก้ปัญหายังไง หรือคุณพยายามทำอย่างไรเพื่อจะแก้ปัญหานั้นๆ คะ แล้วผลจากความพยายามในการแก้ปัญหาของคุณเป็นยังไงคะ พอซักถามกันไปมาแค่นี้ นิสิตก็เริ่มเข้าใจ แล้วก็ยิ้มหน้าบานว่าได้หัวข้อวิจัยกันแล้ว ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เค้ามีกันอยู่แล้วแหล่ะคะ อาจารย์แค่ถามนำเท่านั้นเอง

ตอนนี้ในฐานะอาจารย์นิเทศก็เลยต้องขอให้นิสิตทั้ง 5 คนที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่นั้น ส่งกรอบแนวคิดที่คาดว่าจะทำมาให้อาจารย์ช่วยดูก่อนค่ะ แล้วเราก็จะได้ค่อยๆ ทำกันไป ไม่งั้นทั้งอาจารย์และนิสิตแย่แน่ นิสิตจะแย่เพราะไปเร่งทำตอนใกล้ปลายเทอม ซึ่งอาจไม่มีเวลาพอในการทดลอง การเก็บข้อมูล และการดูผลที่เกิดขึ้น ส่วนอาจารย์ก็จะแย่เพราะเครียดตามนิสิตหน่ะซิคะ เพราะงั้นเรามาช่วยกันทำให้เสร็จแต่เนิ่นๆ ดีมั๊ยคะนิิสิต ไม่ต้องให้อาจารย์ตามงานนะคะ อาจารย์ประเภทลืมวันเดือนปีหน่ะค่ะ .. และที่อาจารย์ประหลาดใจไม่หายคือ คนที่ส่งงานมาให้อาจารย์ตรวจคนแรก ก็คือพ่อหนุ่มกอธิคนี่แหล่ะค่ะ ...

หน้าที่ในการนิเทศของอาจารย์นิเทศการศึกษายังมีด้านอื่นๆ ที่ต้องดูแลนิิสิตอีกนะคะ แต่ครั้งนี้เป็นแค่ประสบการณ์แรก เพราะฉะนั้นเอาแค่นี้ก่อนนะคะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวิจัยในชั้นเรียนเพิ่มเติมค่ะ


ข้อมูลเกี่ยวกับ Gothic Art เพิ่มเติมค่ะ



Wednesday, January 19, 2011

First Feedback!

เพิ่งจะรู้ความรู้สึกว่า เวลาเราเขียนอะไรลงไป แล้วมีคนเข้ามาอ่านและพูดถึงมันเป็นยังไง...

เิริ่มแรกเลย ก็ลูกศิษย์ค่ะ 
ตอนนี้ถึงเวลาต้องสอนนิสิตทำ Blog กันแล้ว (หลังจากที่อาจารย์ได้ซุ่มฝึกฝีมือมาระยะหนึ่งแล้ว ดูใน My First Blog นะคะ) อาจารย์ก็สอนให้รู้จักหลักการ ความสำคัญ ความจำเป็นทั้งหลายทั้งปวงก่อนลงมือสร้าง เพราะนิสิตของเราเป็นนิสิตครูนี่คะ จะให้แนะนำวิธีการสร้างและการใช้ไปเลย โดยไม่คิดว่าเราจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับการศึกษาอย่างไรได้บ้าง ก็ไม่ใช่นิสิตวิชาชีพครูซิคะ เพราะงั้นก็ต้องคุยกันให้เห็นถึงแนวทางในการนำไปใช้ในการเรียนการสอนซะก่อน จากนั้นจึงทดลองสร้าง Blog กัน และแล้วก็ถึงเวลาที่อาจารย์จะต้องโชว์ Blog ที่ทำขึ้นให้นิสิตดูเป็นตัวอย่างใช่มั๊ยคะ โดยที่อาจารย์มีเหตุผลเบื้องหลังคือ อาจารย์ก็อยากอ่านผลงาน ความคิด ความรู้สึกของลูกศิษย์เหมือนกันนิ ก็เลยต้องทำของตัวเองไปให้ชมกันก่อน

ลูกศิษย์: "โห อาจารย์เอาเรื่องเมื่อคืนไปเขียนลงใน Blog (First Chat!) เลยเหรอครับ"  555
อาจารย์: "ก็คุณเข้ามาคุยกับอาจารย์ตอนกำลังหาเรื่องจะเขียนพอดีนี่คะ เลยขออนุญาตเอามาเป็นเรื่องเล่าให้เพื่อนๆ ฟังหน่อยนะคะ ถือว่าเป็นวิทยาทานนะ"
ลูกศิษย์: ได้แต่หัวเราะแล้วก็ทำตาปริบๆ
อาจารย์: "อาจารย์ไม่ได้เขียนอะไรเสียหายใช่มั๊ยคะ น่า นะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นคุณหน่ะ"
ลูกศิษย์: "ผมรู้นี่ครับ"
ลูกศิษย์คนที่สองก็โผล่มา "ผมก็รู้ด้วย เพราะผมอยู่ด้วยตอนเค้าเขียนหาอาจารย์"
อาจารย์: ได้แต่หัวเราะแล้วก็ทำตาปริบๆ (เอ่อ..มีสักขีพยานด้วยแฮะ)
อาจารย์" "เอาน่า เรารู้กันแค่สามคน โอเค?"

สุดท้ายด้วยกลัวว่าอีกหน่อยจะไม่มีลูกศิษย์คนไหนเข้ามาขอคำปรึกษากับอาจารย์อีก เพราะกลัวโดนเอามาเป็นตัวอย่าง อาจารย์เลยต้องเอามาเขียนต่อให้อีกใน Post นี้ (เพราะอาจารย์รู้ว่าคุณสองคนต้องเข้ามาอ่านอยู่แล้ว ) ว่า...

"อาจารย์รู้สึกดีมากที่คุณคิดถึงอาจารย์เวลาที่คุณมีปัญหา เวลาอาจารย์เหนื่อยๆ เครียดๆ พอเข้าไปสอนพวกคุณ (ซึ่งถึงแม้ว่าพวกคุณจะเป็นนกกระจอกแตกรังในบางครั้ง) อาจารย์ก็รู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยขึ้น เพราะความสดใส ความกระฉับกระเฉง และความมีน้ำใจที่พวกคุณปฏิบัติต่อกันและกันค่ะ"

อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นิสิตจะยอมให้อาจารย์เอาเรื่องที่อาจารย์ได้สัมผัสจากพวกคุณมาแบ่งปันให้คนอื่นๆ อีกได้นะคะ :) อย่างน้อยๆ อาจารย์ก็จะ Link Blog ของพวกคุณเอาไว้ดูค่ะ

คราวนี้ก็เพื่อนค่ะ
คุณเพื่อนๆ เล่นมัดมือชกบอกว่าจะติดตามอ่าน ก็เลยต้องหาเวลามาเขียน Post ชิ้นนี้แหล่ะค่ะ ความจริงหลังจากสอนเสร็จก็คิดๆ อยู่นะคะว่าจะเขียนเพิ่มให้ลูกศิษย์ แต่งานค่อนข้างเยอะ เลยอาจขอต๊ะไว้ก่อนซักระยะ แต่เมื่อมี Feedback จากเพื่อนๆ ก็เลยต้องลงมือเขียนเพิ่มจริงๆ

ขอบคุณทุก Feedback นะคะ

หมายเหตุ Post นี้ว่าด้วยเรื่องการใส่ Link ที่อยู่ภายใน Blog ของเราเองค่ะ

Tuesday, January 18, 2011

First administrate work!

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เกษียณหนังสือในฐานะผู้บริหาร!

เมื่อครั้งลาออกจากงานเดิม เพื่อจะเข้ามาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น เหตุผลเดียวและเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ อยากสอนค่ะ เนื่องจากว่า ชอบมากเลยเวลาเห็นใครไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำอะไรไม่เป็น แล้วเราได้ช่วยเค้าให้ทำได้ ทำเป็น และเข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งคำตอบนี้ก็เป็นคำตอบเดียวที่มักจะตอบกับทุกคนที่ถามว่าทำไมลาออกจากราชการเพื่อมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่ดูเหมือนกับจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรใดๆ มากเท่ากับที่เดิมเลย แม้กระทั่งในวันนี้ได้มีโอกาสพบกับผู้บริหารสูงสุดก็ยังคงตอบด้วยคำตอบเดียวกันนี้แหล่ะค่ะ

ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายใช่มั๊ยคะ พอเอาเข้าจริงแล้ว กลายเป็นว่างานสอนกลายเป็นงานที่น่าจะเครียด หนัก และเหนื่อย เพราะต้องทุ่มเทเวลาในการเตรียมสอน การออกแบบกิจกรรมการสอน การวัดประเมินผล และอื่นๆ ที่ตามอีกจิปาถะ แต่กลับกลายเป็นว่า งานสอนกลับเป็นงานที่ทำให้ได้คลายเครียด และหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานในการถ่ายทอดความคิด ความรู้ และร่วมเรียนรู้ไปกับลูกศิษย์ได้อย่างอิสระเสรี

งานที่เครียด หนัก และต้องการเวลาเป็นอย่างมากสำหรับตัวเองในการเรียนรู้ ก็คือ งานบริหารค่ะ สืบเนื่องจากว่าได้รับความไว้วางใจให้เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร เลยทำให้ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบอื่นๆ ตามมานอกเหนือจากงานสอน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งงานซึ่งต้องเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาตัวเองให้สามารถทำให้ได้ ประมาณว่าเมื่อก่อน เคยเกษียณหนังสือราชการบ่อยมากเลยค่ะ แค่คำว่า "ทราบ" แต่เดี๋ยวนี้ต้องไปศึกษาก่อนนะคะว่า เวลามีเรื่องราวต่างๆ เข้ามา เค้าเขียนกันว่าไงบ้าง ซึ่งก็เป็นการคุยกันเล่นขำๆ ในหมู่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นะคะ เอาเข้าจริงก็ต้องจริงจัง และทำหน้าที่ให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจ ซึ่งต้องช่วยลุ้นกันต่อไปนะคะว่าจะเรียนรู้และทำได้ดีแค่ไหน

... ที่แน่ๆ การอธิษฐานช่วยได้เสมอค่ะ ไม่เชื่อก็ลองดูนะคะ ...




หมายเหตุ Post นี้ว่าด้วยเรื่องการ Insert a Video ค่ะ

First Chat!

ชีวิตอาจารย์นี่นะ จะว่าไปก็เหมือนกับคนเป็นแม่นะคะ มีลูกศิษย์ที่ต้องดูแล ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม ก็ยินดีที่จะดูแลเค้าด้วยความเต็มใจใช่มั๊ยคะ แล้วก็ให้นึกได้ว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นคริสเตียนก็เช่นกัน  เวลามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรขึ้นมา ก็ต้องรีบวิ่งโร่อธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ หรืออาจารย์ก็ยินดีเช่นกันค่ะ

ประสบการณ์นี้เพิ่งได้รับเมื่อตอนห้าทุ่ม ขณะที่กำลังนั่งเตรียมสอนเพลินๆ ก็ได้ยินเสียง ป๊อก ป๊อก ตอนแรกก็งงว่าเสียงอะไร พอดีว่าทำงานกับคอมพิวเตอร์ แล้วก็เปิดโปรแกรมไว้หลายๆ โปรแกรมไงคะ เลยต้องมาไล่เช็คว่ามันดังมาจากหน้าต่างไหนนี่ สุดท้ายก็เจอว่าดังมาจาก Yahoo Mail นั่นเอง มีคนเข้ามาคุยด้วยแล้วไง แต่เอ! email address ที่โชว์ขึ้นมาไม่รู้จักนี่นะซิคะที่เป็นปัญหา อยู่ๆ ก็ทักว่า "อาจารย์ครับ" "อาจารย์ครับ"

เอาละซิ! อาจารย์จะรู้มั๊ยนี่ว่าคุณเป็นใคร รู้แต่ว่าแจก Yahoo Mail ไว้ให้นิสิตติดต่อ แต่นิสิตที่สอนเทอมนี้มีเกือบ 160 คน คนไหนละนี่ จะถามว่า Who are you? ก็จะน่าเกลียดไปมั๊ยคะ เลยตัดสินใจตอบว่า "คะ" แ้ล้วปล่อยให้นิสิตเปิดเผยตัวต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็ถึงบางอ้อว่า อ๋อ! ลูกศิษย์เราคนนี้นี่เอง (ขอไม่บอกนะคะว่าเป็นใคร)

หลังจากนั้นเราก็คุยกันอย่างออกรสมากขึ้น นิสิตมีเรื่องปรึกษาค่ะ ความจริงจะเรียกว่าระบายให้ฟังก็อาจจะตรงประเด็นกว่านะคะ ซึ่งอาจารย์ก็ยินดีค่ะ ก็แหม! แค่ลูกศิษย์กล้า Chat เข้ามาคุยด้วย อาจารย์ก็ปลื้มแล้วหล่ะค่ะ แสดงว่าได้รับความไว้วางใจแล้วนะนี่

สุดท้าย สิ่งที่บอกกับนิสิตท่านนั้นไปก็คือว่า "มีอะไรก็คุยกับอาจารย์ได้นะคะ แม้อาจารย์อาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ในตอนนี้ แต่อาจารย์ก็ยินดีรับฟัง และพยายามจะช่วยคิดหาทางออกให้เ่ท่าที่จะทำได้ค่ะ"

ประสบการณ์การ Chat กับลูกศิษย์ครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้แล...

หมายเหตุ Post นี้ว่าด้วยเรื่องการหาข้อมูลรอบๆ ตัวมา Post ค่ะ

My student's first project!

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้มีโอกาสลงมานั่งทำหน้าที่เป็นผู้เรียน หลังจากที่ได้บรรยายและยกตัวอย่างให้นิสิตฟังเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน หลักการออกแบบ การผลิต และการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน รวมถึงแหล่งกา่รเรียนรู้ต่างๆ พอช่วงเทศกาลปีใหม่หยุดกันยาว รู้แน่ๆ ว่านิสิตต้องได้มีโอกาสไปพักผ่อน เที่ยวเล่นที่ไหนซักแห่งแน่นอน เลยมอบหมายงานให้นิสิตไปทัศนศึกษาที่ไหนก็ได้ แล้วให้นำมา Present บอกเล่าเรื่องราวให้เพื่อนๆ ฟัง ก็นะ ไหนๆ ก็ได้ไปเที่ยวแล้ว ก็เที่ยวให้ได้ประโยชน์สองทางเลยดีกว่า

โจทย์ที่ให้กับนิสิตคือ ให้ไปเที่ยวกับเพื่อนซักกลุ่มละ 4-5 คน โดยไปศึกษาสถานที่ท่องเที่ยวนั้นในฐานะเป็นแหล่งการเรียนรู้ แล้วนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาแต่พอสังเขป สถานที่ตั้ง การเดินทาง เหตุผลที่เลือก และสถานที่นั้นเหมาะสำหรับการไปศึกษาเรียนรู้ในเนื้อหาหรือวิชาใด หรือสามารถนำมาใช้เป็นกิจกรรมประกอบการเรียนการสอนในลักษณะใดได้บ้าง โดยมีข้อแม้ว่าต้องมีรูปถ่ายของสมาชิกกลุ่มร่วมในการนำเสนอครั้งนี้ด้วยนะ ก็อยากให้นิสิตได้ไปสนุกสนานด้วยกันจริงๆ นี่คะ

ผลปรากฏว่า คนที่มีความสุข สนุกสาน นอกจากจะเป็นนิสิตทุกคนที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว ยังมีอาจารย์อีกคนที่นั่งอมยิ้มกับความสนุกสนานของนิสิตตามไปด้วย และงานที่นิสิตนำมาเสนอก็ทำให้คนเป็นอาจารย์ต้องภาคภูมิใจ เพราะนิสิตตั้งใจทำเป็นอย่างมาก ผลงานแต่ละชิ้นสามารถนำไปเทียบได้กับรายการโทรทัศน์ช่องต่างๆ ที่มีการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้เลยหล่ะค่ะ

อาจารย์เลยขอใช้โอกาสนี้ ยกย่องและชมเชยนิสิตชั้นปีที่ 4 (2/2553) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่เรียนวิชา ED428 sec02, 07 ทุกคนเลยนะคะ อาจารย์ภาคภูมิใจมากที่ได้สอนพวกคุณ และประทับใจมากที่พวกคุณมีความตั้งใจทำงานมานำเสนอให้อาจารย์และเพื่อนๆ อย่างเต็มความสามารถค่ะ

ปล. มีกลุ่มหนึ่งนำเสนอพร้อมกับมีเพลงนี้ประกอบ ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะร้องคลอตาม ลองไปฟังดูนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=7RTzllfBSMI&feature=related


กลุ่มนี้ sec 07 ค่ะ
หมายเหตุ Post นี้ว่าด้วยเรื่องการ Insert Picture และ Link ภายนอก Blog ของเราค่ะ


Monday, January 17, 2011

My first Blog

สืบเนื่องจากการอยากจะสอนให้นิสิตรู้จักใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการเผยแพร่ความรู้ ดังนั้น เครื่องมืออย่างแรกที่คิดถึงคือ Blog เพราะเคยเข้าไปค้นหาความรู้ และใช้ประโยชน์จาก Blog ของผู้อื่นมาก็หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยได้มีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของ Blog เลย ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มี Blog เป็นของตัวเองซะที และก็ถือโอกาสอันนี้บอกเล่าเรื่องราวการค้นหาความรู้ของตนเองไปด้วย เริ่มกันเลยนะคะ....
  • ขั้นตอนแรกที่ลงมือทำก็คือ ค้นหาว่าเราจะสร้าง Blog for free ได้จากแหล่งไหน ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นจากบริษัท Google ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนส่วนมาก ซึ่งได้ของฟรีพร้อมกับของแถมในแง่ของความรู้สึกมั่นใจว่า Host คงไม่ล่มสลายหรือแปรปรวนรวนเรแน่นอน เมื่อตัดสินใจว่าจะสร้าง Blog ด้วยบริการของ Google แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ หาความรู้ในการสร้าง
  • ขั้นตอนที่สอง ค้นหาความรู็ในการสร้าง Blog ผ่าน Google และหนังสือจากห้องสมุด ด้วยว่าห้องสมุดนั้นอยู่ใกล้ห้องพักอาจารย์เพียงแค่ไม่กี่นาที ดังนั้น จึงเลือกใช้ประโยชน์จากการทำความเข้าใจเนื้อหาต่างๆ จากในหนังสือเป็นหลัก เพราะละเอียดและพกติดตัวไปอ่านได้ สำหรับข้อมูลที่ค้นได้จาก Google นั้น ก็จะเป็นพวกไฟล์ PowerPoint ประกอบการบรรยาย ซึ่งเราก็มีหน้าที่ค้นหา เลือก และปรับใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของเรา เพียงเท่านี้ ก็เรียกว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้อย่างคุ้มค่า แต่ที่สำคัญอย่าลืมให้เครดิตเจ้าของงานด้วยนะคะ (ตัวอย่างแหล่งค้นคว้าครั้งนี้ค่ะ)

           หนังสือ: สุรีรัตน์ โพธิ์ทอง. 2552. ทำ Blog อย่างไรให้ทำเงิน. กรุงเทพฯ: วิตตี้กรุ๊ป.
           Website: http://www.slideshare.net/mjamesno/blog-basics-how-to-build-a-blog
  • ขั้นตอนที่สาม กำหนดเข็มทิศให้ Blog ของเราค่ะ ขั้นตอนนี้เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ เนื่องจากว่าวัตถุประสงค์ของการทำ Blog ก็เพื่อต้องการให้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่คนที่มีความชื่นชอบในเรื่อราวเดียวกัน ดังนั้น เราก็ต้องวางแผนให้ดีก่อนว่า:
           1. เราอยากจะสร้าง Blog เกี่ยวกับอะไร ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางของ Blog เรานั่นเอง
           2. คิดชื่อ Blog ให้สอดคล้องกับเรื่องหรือทิศทางที่เราต้องการ
           3. คิดเนื้อหาที่เราต้องการจะบอกเล่า ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับทิศทางของ Blog เราด้วยนะคะ และถ้าสามารถจัดเตรียมเนื้อหาหรือข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไว้ล่วงหน้า ก็ยิ่งจะเป็นการดีทั้งต่อตนเองและต่อผู้อ่่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ
  • ขั้นตอนที่สี่ ลงมือสร้าง Blog เลยค่ะ ซึ่งในที่นี้จะแนะนำแบบง่ายและรวดเร็วเลยนะคะ
          1. เปิดโปรแกรม Web Browser แล้วไปที่ http://www.blogger.com
          2. คลิกที่ปุ่ม CREATE A BLOG
          3. กรอกข้อมูลในการสมัคร
          4. ตั้งชื่อ Blog และที่อยู่ของ Blog
          5. เลือกรูปแบบหน้าตาของ Blog ในขั้นนี้ทดลองเลือกไปก่อนนะคะ เพราะแก้ไขทีหลังได้ค่ะ
          6. คลิกปุ่ม Start Blogging เป็นอันเสร็จพิธีการสร้างพื้นที่สำหรับจัดทำ Blog ของเราค่ะ
  • ขั้นตอนสุดท้าย ลงมือเขียนบทความที่เราต้องการเผยแพร่ให้กับผู้อ่านทั้งหลาย ซึ่งออกมาจากประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิด และมันสมอง ส่งตรงถึงสองมือของเราค่ะ โดยไปตามขั้นตอนนี้นะคะ
          1. ไปยังแทบเมนู Dashboard (แผงควบคุม)
          2. คลิกไปที่ปุ่ม New Post เลยค่ะ
          3. ตั้งชื่อบทความแรกของเราลงไปในช่อง Title
          4. บรรยายลงไปเลยค่ะทีนี้ แต่อย่าลืมนะคะ เราเขียนให้ผู้อื่นอ่านด้วย ดังนั้นก็มีหลายอย่างที่เราต้องพิจารณาและระมัดระวังด้วยใช่มั๊ยคะ
          5. เมื่อพร้อมจะเผยแพร่แล้ว คลิกปุ่ม Publish Post ค่ะ แต่ถ้ายังอยากจะแก้ไขขัดเกลาก่อน ก็คลิกปุ่ม Save now เพื่อบันทึกเอาไว้ในระบบก่อนเพื่อรอเวลาเกลาให้เสร็จสมบูรณ์ค่ะ ซึ่งหากจะแก้ไขก็ทำเพียงไปที่ Posting>Edit Post จากนั้นคลิกที่คำสั่ง Edit ก็จะแำก้ไขได้ค่ะ
เพียงเท่านี้ ก็ได้บทความชิ้นแรกนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับนิสิตได้แล้วหล่ะค่ะ ส่วนที่เหลือต่อจากนี้ก็ต้องตกแต่งและออกแบบให้สวยงาม แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ต้องพยายามทำอย่างนี้เรื่อยไป เราก็จะได้ Blog ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้อย่างแท้จริงค่ะ