Thursday, December 6, 2012

Have you tried to learn enough?

หลังจากที่ได้มีโอกาสอ่านข่าวเกี่ยวกับ "โรงเรียนใต้ดิน" ที่อัฟกานิสถาน ที่ซึ่งการศึกษายังคงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเด็กผู้หญิง แม้ว่าประเทศมหาอำนาจหลายประเทศพยายามให้ทุนสนับสนุนให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันทั้งชายและหญิงก็ตาม ดังนั้น เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ จึงต้องแอบหลบซ่อนและเสี่ยงกับการทำร้ายในทุกรูปแบบ ทั้งการถูกวางยาพิษ การเผาโรงเรียน การระเบิดโรงเรียน และการถูกลอบทำร้่ายฯลฯ เพื่อให้ได้เรียนหนังสือ แม้สถานที่ที่ใช้เีรียนจะคับแคบและแออัดเพียงใด หรือไม่มีแม้แต่อุปกรณ์การเรียน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนก็ตาม เด็กหญิงเหล่านี้ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะมาหาความรู้ และเมื่อถูกถามว่าอยากเรียนอะไร คำตอบที่ได้รับก็คือ...หนูอยากเรียนทุกอย่าง...

ข่าวในวันนี้ที่ได้อ่าน ทำให้ย้อนไปนึกถึงข่าวของเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อ Malala Yousafzai เธอเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งในประเทศปากีสถาน ที่ซึ่งสิทธิทางการศึกษา และสิทธิมนุษยชนในหลายๆ ด้าน ระหว่างเพศชายและหญิงยังมีความไม่เท่าเทียมกัน สิ่งหนึ่งที่เด็กหญิง Malala ซึ่งมีอายุเพียง 11 ปี (3 ปีก่อน) ได้ทำในเวลานั้นก็คือ การเขียน Blog ให้กับ BBC เกี่ยวกับสภาพการณ์ ความรุนแรง และสิ่งต่างๆ ที่เธอและเด็กหญิงคนอื่นๆ ต้องเผชิญ หลังจากนั้น ข้อเขียนของเธอก็ได้รับการกล่าวถึงอยู่เป็นประจำตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้เข้ามาทำข่าวเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ของเธอมากขึ้น

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ในขณะที่ Malala อายุ 14 ปี เธอถูกจ่อยิงที่ศีรษะในขณะที่กำลังนั่งรถโดยสารระหว่างทางกลับจากโรงเรียน โชคดีมากที่เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลและแพทย์ท้องถิ่นได้ผ่าตัดเอากระสุนออกจากศรีษะของเธอ หลังจากนั้นได้นำตัวเธอส่งไปรักษาต่อยังประเทศอังกฤษ และขณะนี้เธอได้รับการรักษาให้กลับมาลุกขึ้นได้อีกครั้ง และได้รับเสียงเรียกร้องให้มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้กับเธอ


http://www.thenewstribe.com/2012/11/10/un-observing-malala-day-on-nov-10-million-sign-nobel-petitions-for-peace-activist/
เรื่องราวของเด็กหญิง Malala และข่าว "โรงเรียนใต้ดิน" ที่ได้อ่านในวันนี้ นอกจากจะทำให้ตัวเองเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เกิดในแผ่นดินไทย ได้อยู่ในดินแดนที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันแล้ว ยังเกิดความตระหนักและสะท้อนในใจเป็นอย่างมากว่า...

อนิจา ยังมีเด็กๆ อีกหลายล้านชีวิตที่ชีวิตของเค้าต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อการรู้หนังสือ เพื่อให้ได้ไปโรงเรียนอย่างเป็นปกติสุขทุกวัน ความกระหายอยากเรียนรู้ อยากรู้หนังสือ ทำให้เด็กๆ เหล่านี้ยอมลำบาก ยอมเสี่ยงแม้ชีวิตเพื่อจะได้รู้หนังสือ ...แต่เมื่อมองดูรอบตัว ได้พบเจอกับหลายชีวิตที่มีโอกาสดีๆ ในการเรียน มีความสะดวกสบาย มีความพรั่งพร้อม และมีโอกาสมากมายในการแสวงหาความรู้และเข้าถึงความรู้ได้อย่างอิสระ แต่กลับไม่เห็นคุณค่า ไม่ทุ่มเท และปล่อยปละละเลย เห็นความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าการศึกษาเล่าเรียน...ในห้องเรียนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้มากมาย หลายครั้งเรากลับได้พบภาพที่ผู้เรียนฟุบหลับ พูดคุยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เล่นสมาร์ทโฟน ขาดความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมในการเรียน...

ผู้เรียนหลายๆ คนอาจโทษผู้สอน แต่เมื่อย้อนนึกถึงเด็กๆ ชาวอัฟกานิสถานแล้วจะพบว่า..."เค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถเลือกผู้สอนได้ แต่เค้าเลือกที่จะช่วยให้ตัวเองได้เรียนรู้"....นี่ต่างหากคือความต่างและเป็นหัวใจสำคัญของการเห็นคุณค่าของการศึกษาเรียนรู้ที่แท้จริง...วันนี้คุณพยายามเรียนรู้มากพอหรือยัง???

อ่านข่าว "โรงเรียนใต้ดิน" ได้ที่
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354433832&grpid&catid=06&subcatid=0600

ติดตามเรื่องราวของ Malala ได้ที่
http://www.bbc.co.uk/search/malala_yousafzai


Sunday, February 12, 2012

สุดยอดภาพข่าวในเดือนแห่งความรัก

ในเดือนแห่งความรัก ขอมีอะไรที่ยอดเยี่ยมและน่ารักๆ มาฝากทุกคนหน่อยนะคะ

เพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าไปชมภาพข่าวยอดเยี่ยมแห่งปีที่เว็บไซต์ Worldpressphoto.org นำเสนอ และพบว่าเว็บไซต์นี้ได้ออกแบบการนำเสนอให้กับผู้เยี่ยมชมได้อย่างน่าสนใจสุดสุด เลยอดไม่ได้ที่จะกด favorite เก็บไว้ในบราวเซอร์ส่วนตัว...อะไรที่ทำให้ชอบมากขนาดนั้นเหรอคะ...

ประเด็นแรกเลยก็คือ การนำเสนอที่ใช้หลักการทางเทคโนโลยีการศึกษาค่ะ ด้วยความที่เป็นอาจารย์ด้านเทคโนโลยีการศึกษา สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ และทำให้ต้องลงมือเขียนบทความนี้ก็คือ เว็บไซต์นี้ใช้หลักการของเทคโนโลยีการศึกษาในการสื่อสารกับผู้เยี่ยมชม นั่นคือ มีการใช้ ภาพ ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนหลักการออกแบบการนำเสนออย่างเป็นระบบ  ร่วมกับเทคโนโลยีเว็บ ในการสื่อสารภาพข่าว เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้รับรู้และเรียนรู้กับข้อมูลที่ต้องการจะสื่อสารได้อย่างมีความหมาย...

http://www.worldpressphoto.org/gallery/2012-world-press-photo

ถ้าคุณผู้อ่านได้คลิกเข้าไปดูในหน้าเว็บไซต์นี้ ลองสังเกตซิคะ เว็บไซต์นี้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรหวือหวา เพราะลำพังภาพที่ได้รับรางวัลก็มีความเด่น และดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมชมได้มากโขอยู่แล้ว แต่ในความไม่หวือหวาและเรียบง่ายนี้กลับผ่านกระบวนการออกแบบการนำเสนอมาอย่างเป็นระบบ นั่นก็คือ การให้ความสำคัญกับผู้เยี่ยมชมเป็นหลัก การออกแบบเมนู การจัดวางภาพ และตัวอักษร รวมถึงการเชื่อมโยงต่างๆ ที่ง่ายต่อการรับรู้ การสืบค้น และการเข้าถึงสาระต่างๆ ที่อยู่ภายใน ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถดื่มด่ำกับภาพถ่ายสวยๆ ได้โดยไม่รู้สึกติดขัดในการใช้เทคโนโลยีเว็บกันเลยทีเดียวเชียว...นี่แหล่ะค่ะ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จริงๆ ซึ่งต้องขอบอกว่า "การเรียนรู้" ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึง การเรียนรู้ที่เกิดจากการศึกษาในระบบโรงเรียนภายในห้องเรียนเท่านั้นนะคะ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้ด้วยตนเองตามความถนัด ความสนใจ ตามเวลา และสถานที่ที่ต้องการ...ยิ่งเข้าไปชม ยิ่งอดใจไม่ไหว ต้องขอกด Like ใหัซักพันครั้ง และก็อดไม่ได้ที่จะเอามาบอกเล่าใหักับผู้อ่านรับฟังอีกด้วย...

ประเด็นที่สองก็คือ ความประทับใจในชุดภาพและสาระที่นำเสนอ ชุดภาพต่างๆ ที่ได้รับรางวัลนั้น ต่างมีเรื่องราวเบื้องหลังความสวยงามที่ชวนให้ประทับใจทั้งสิ้น ขอยกตัวอย่างเพียงไม่กี่ชุดภาพนะคะ


World Swimming Champion Ships: www.worldpressphoto.org/photo/2012adamprettysps2-ak?gallery=2634 

Tyler Clary: www.worldpressphoto.org/photo/2012adamprettysps2-dk?gallery=2634

ภาพชุด World Swimming Champion Ships เป็นหนึ่งในชุดภาพข่าวที่นำเสนอความงดงามของสายน้ำและนักกีฬาได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นภาพของ Tyler Clary ภาพนี้แล้ว ถึงกับเกิดความรู้สึกตื่นเต้นซาบซ่านขึ้นมาภายในตัวอย่างบอกไม่ถูก

The Fury of the Tsunami: www.worldpressphoto.org/photo/2012koichirotezukasns1-ag?gallery=2634

ภาพชุด The Fury of the Tsunami เป็นอีกภาพชุดที่สะท้อนให้เห็นถึงหายนะที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่ชัดเจน และก่อให้เกิดจิตสำนึกในการรักษ์โลกขึ้นมาในบัดดล

แต่ในเมื่อเดือนนี้คือเดือนแห่งความรัก จึงขอจบด้วยชุดภาพข่าวที่แสนประทับใจชุดนี้เลยนะคะ...Never Let You Go...อื้อหือ แค่ชื่อชุดก็กินใจสุดสุดแล้ว ...Marcos กับ Monica แต่งงานกันมานานถึง 65 ปี และเมื่อเค้าพบว่าเธอป่วยเป็นโรค Alzheimer's disease เค้าก็อุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อดูแลเธอ...ลึกซึ้งและกินใจขนาดนี้ เลยขออดไม่ไหวต้องนำมาให้ชื่นชมกันทั้งชุดเลยค่ะ...

Never Let You Go: www.worldpressphoto.org/photo/2012alejandrokirchukdls1-al?gallery=2634

Never Let You Go: www.worldpressphoto.org/photo/2012alejandrokirchukdls1-al?gallery=2634

Never Let You Go: www.worldpressphoto.org/photo/2012alejandrokirchukdls1-al?gallery=2634

Never Let You Go: www.worldpressphoto.org/photo/2012alejandrokirchukdls1-al?gallery=2634

อยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ และหวังว่าท่านจะได้รับความสุขและดื่มด่ำกับความสวยงามของภาพและเนื้อหาสาระภายในนะคะ

Special thanks: http://www.worldpressphoto.org 



Monday, January 2, 2012

The most Powerful Book in my life!

http://bikyamasr.com/16826/forged-bible-has-egyptian-christians-angered

หนังสือ เป็นเพื่อน เป็นคู่คิด และเป็นอาหารอันโอชะ  ~

หนังสือที่พูดถึงในที่นี้ ขอยกเว้นพวกหนังสือเรียนและตำราวิชาการต่างๆ ไว้ เป็นข้อตกลงเบื้องต้นว่า เราทุกคนต้องหมั่นศึกษา ค้นคว้า เพื่อการเรียนรู้อยู่แล้ว จึงขอไม่พาดพิงถึงหนังสือประเภทนี้นะคะ ...

ในสมัยเด็กนั้น เพื่อจะได้อ่านหนังสือที่ชอบ ถึงกับยอมอดออมเงินค่าขนม เพื่อจะได้มีเงินไปเช่าหนังสือ ทุกครั้งที่สอบไล่ปลายภาคเสร็จ สิ่งแรกที่ทำคือ ไปร้านเช่าหนังสือค่ะ ...หนังสือที่เช่ามาอ่านก็จะมีหลายแนวมาก ตั้งแต่หนังสือการ์ตูนพวกโดเรมอน อาราเร่ แคนดี้ ไปจนถึง คำสาปฟาโรห์ อ่านเรื่อยเรียงไปจนถึงนวนิยายไทย นวนิยายแปล ซึ่งก็อ่านหมดทุกแนวอีกเช่นกัน ทั้งสืบสวนสอบสวน ลึกลับ วิทยาศาสตร์ หรือโรแมนติค...เวลาอ่านหนังสือจะเป็นเวลาที่ไม่อยากให้ใครมารบกวนเลย เพราะใครมาพูดมาคุยด้วย จะไม่ได้ยินอะไรใดใดทั้งสิ้น จะเหมือนหายไปอยู่อีกโลกหนึ่ง บ่อยครั้งที่อ่านหนังสือจนเลยเวลาอาหาร เลยเวลานอน และอีกบ่อยครั้งเหมือนกันที่นั่งหัวเราะเอิ้กอ๊าก หรือนั่งน้ำตาไหลพรากๆ เพราะกำลัง "อิน" กับเนื้อเรื่องสุดสุด ...หนังสือเหล่านี้ยอมเสียเงินเช่ามาอ่าน แต่ไม่ซื้อค่ะ -/\-

หนังสือบางประเภทที่ชอบอ่าน ชอบดู ไม่ชอบซื้อ นานๆ ถึงจะซื้อซักเล่ม ได้แต่ยืมของคนอื่นอ่าน นั่นก็คือ หนังสือพวก นิตยสารแฟชั่น วาไรตี้ หรือหนังสือรายปักษ์ รายเดือนทั้งหลาย หนังสือพวกนี้เห็นเป็นไม่ได้ ต้องหยิบขึ้นมาอ่าน มาดู เพราะการออกแบบหน้าปก การจัดวางเนื้อหา และภาพ สวย เก๋ สีสันสดใส ผลิตจากกระดาษคุณภาพสูง เนื้อหาสาระข้างในก็ไม่อัดแน่นมาก มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้เรียนรู้อยู่เรื่อยๆ แต่ก็งก ไม่ค่อยจะยอมเสียเงินซื้อหนังสือเหล่านี้...ทำไมถึงงกกับหนังสือพวกนี้ก็ไม่รู้นะคะ

ส่วนหนังสือที่ไม่ยอมเช่า แต่ยอมเสียเงินซื้อเก็บไว้ จะเป็นหนังสือ หรือนิตยสาร ประเภทที่ให้สาระ ความรู้ ความบันเทิง แบบอ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ ไม่มีการล้าสมัย แถมไม่พอควรจะเป็นหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกเพศ ทุกวัย ดังเช่น หนังสือพวกวรรณกรรมเยาวชนต่างๆ อาทิ Harry Potter, The Lord of the Rings, Eragon, A Tale of Two Cities, Oliver Twist, Pride and Prejudice ถ้าเป็นนิตยสารก็พวก นิตยสารรักลูก สารคดี ท่องเที่ยว ทำอาหาร เหล่านี้เป็นต้น แต่ก็จะไม่ซื้อในราคาเต็มอีกเช่นกัน ต้องรอช่วงเทศกาลหนังสือที่มีช่วงลดราคาประมาณนั้น

หนังสือที่ยอมซื้อในราคาเต็ม โดยไม่ต้องรอช่วงลดราคา แถมยังซื้อไว้หลายเล่ม หลายขนาด หลายรูปแบบ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน และการพกพาไปอ่านยังที่ต่างๆ ได้ นั่นก็คือ พระคัมภีร์
http://plusthings.com/amazing-the-bible-analyzed-by-computer

พระุคัมภีร์ เปรียบเสมือนหนังสือที่มีชีวิต เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน เดือน ปี ก็ยังเป็นจริง ทันสมัย อ่านซ้ำได้ทุกวันไม่มีเบื่อ อ่านเมื่อใดก็ให้ข้อคิด คติเตือนใจ ที่เอามาใช้กับการดำเนินชีัวิตได้ในทุกๆ วัน..บางครั้งเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เหนื่อย เบื่อ เหงา เศร้า พอได้อ่านพระคัมภีร์ก็จะได้คำตอบที่ช่วยให้เข้มแข็งขึ้น มีกำลังขึ้น เข้าใจโลก เข้าใจผู้อื่น และที่สำคัญเข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น..บางครั้งเมื่อชีวิตเดินทางไปสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน แวดล้อมไปด้วยคนที่รักและเข้าใจ และทุกสิ่งดูช่างสวยงามไปหมด พระคัมภีร์ก็เตือนสติให้เข้าใจสัจธรรมของวาระ และเวลา ไม่ให้เราทำตัวหลงพองฟู แล้วต้องกลับมาแฟบลงอย่างไม่เข้าใจ...ช่วยทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น วันละเล็กละน้อยทุกวันเรื่อยไป

มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงอยากทราบแล้วใช่มั๊ยคะว่า จริงหรือ? เลยขอยกตัวอย่างพระคัมภีร์ซักตอนนึง ที่มักจะเอามาใช้เสมอเวลาต้องข้องเกี่ยวกับผู้คน ไม่ว่าจะกับคนที่รัก คนที่เคารพ คนที่เอ็นดูเรา คนที่เราเอ็นดูเขา คนที่เราใส่ใจเขาแต่เขากลับไม่ใส่ใจเรา คนที่เราแค่รู้จัก และคนที่เราแทบจะไม่รู้จัก นั่นก็คือ ข้อพระคัมภีร์ตอนที่ว่า..
http://love-is-a-promise.webnode.com/news/what-is-love-1

"ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเีฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง"

ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด ต่างต้องได้ประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า ~ ความรัก ~ หลายๆ คนบอกว่า ความรักมีหลากหลายรูปแบบ ความรักของพ่อแม่กับลูก ความรักของพี่น้อง ความรักของเพื่อน และความรักของหนุ่มสาว แต่อยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นความรักในรูปแบบไหน ก็หนีไม่พ้นในแต่ละวรรคของพระคัมภีร์ตอนนี้ที่เราต้องเผชิญ ลองอ่านและทบทวนดูทีละวรรคซิคะ แล้วจะรู้ว่า เป็นจริงเพียงใด...

บางคนเคยสงสัยและถามว่า ทำไมถึงทำได้ รักได้ แม้เค้าไม่น่ารัก ...รักคนที่ดีต่อเรา อดทนต่อคนที่ดีต่อเรา ง่ายกว่าเป็นไหนๆ ใช่มั๊ยคะ...แต่คนที่ไม่ดีกับเรา ทำไมเราถึงรักเค้าได้ อดทนต่อเค้าได้ อภัยให้เค้าได้ และพยายามมองหาสิ่งดีอื่นๆ ในชีวิตของเค้าได้..อยากบอกว่า ที่ทำได้ก็เพราะตัวเองเคยได้รับความรักแบบนี้มาก่อน จึงทำให้สามารถมอบความรักแบบนี้กับคนอื่นๆ ได้ค่ะ

ขออีกหนึ่งตัวอย่างนะคะ เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นซักครั้งในชีวิตของพวกเราทุกคนเช่นกันค่ะ..นั่นก็คือ ในวันที่ชีวิตต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือภาวะอันตึงเครียด ภาวะที่เราไม่อาจคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น การที่ต้องไปสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อ หรือสัมภาษณ์เข้าทำงาน ในที่ที่เราต้องการสุดสุด เฉพาะการสัมภาษณ์เท่านั้นนะคะ ไม่เกี่ยวกับการสอบข้อเขียน เพราะผลของการสอบข้อเขียนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาจากความมานะพยายามของเราเป็นหลัก แต่การสัมภาษณ์มันต่างออกไป.. เชื่อมั๊ยคะ แม้เราจะคิดว่าตัวเองได้เตรียมตัวเตรียมใจซักซ้อมมาแล้วเป็นอย่างดี แต่เราทุกคนก็คงรู้สึกเครียด ประหม่า และหวั่นวิตกไปต่างๆ นาๆ ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาอย่างที่เราหวังมั๊ย ..มีข้อพระคัมภีร์ตอนนึงช่วยได้มากในสถานการณ์แบบนี้.."องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า" .. แค่นี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถก้าวเข้าสู่สมรภูมิที่ต้องถูกจ้องมองจากคนที่จะตัดสินอนาคตของเราได้อย่างฮึกเฮิมและมั่นใจยิ่งขึ้น ไม่กังวลกับสิ่งใดๆ แค่ทำให้เต็มที่ก็เพียงพอแล้ว เพราะรู้แน่แก่ใจว่ามีผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่อยู่เคียงข้าง

ดังนั้น สำหรับตัวเองแล้ว พระคัมภีร์ จึงเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน เพื่อน คู่คิด และอาหารที่ต้องรับประทานทุกวันเรื่อยไป จึงไม่น่าประหลาดใจใช่มั๊ยคะ ถ้าจะบอกว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่หาซื้อไว้หลายเล่ม หลายขนาด มีทั้งฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แถมยังชอบซื้อ และบอกต่อให้กับหลายๆ คน เพื่อส่งต่อคุณค่าและความดีงามให้กับคนที่รักอีกด้วย

แหล่งศึกษาเพิ่มเติมอื่นๆ ...
http://www.rbcthailand.org/odb/category/odb/
http://www.followhissteps.com/web_christianstories/amazinglife22.html
http://www.suburbanchurch.com/
http://jurino.com/2011/01/17/3-minimalist-lessons-from-the-bible/

ความคิดเห็นอื่นๆ เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ที่ตนชื่นชอบ เชิญติดตามจาก My Student's blogs ด้านขวามือนะคะ